เมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีบทความวิชาการได้กล่าวถึงเหตุผลที่คนเราไม่ควรไปห้างสรรพสินค้า
เพราะมันกัดกินทรัพยากรอย่างไม่รู้จักอิ่ม เช่น เจ้าของห้าง ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเขื่อนทั้งเขื่อน เพื่อส่งไฟฟ้าให้มัน
และทำให้ทัศนคติของผู้คนต่อการใช้พื้นที่สาธารณะเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวลงเรื่อยๆ
เช่น ทำให้ผุ้คนไม่นิยมไปหรือใช้พื้นที่สาธารณะ หรือมีผลกระทบทางอ้อมในด้านต่างๆ ต่อการอยู่อาศัย
การคมนาคม การค้า ได้แก่ การสร้างปัญหาการจรารจร
ปัญหาต่ออัตลักษณ์ความเป็นชุมชนและความเป็นย่าน ปัญหาต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น
เป็นต้น
ทุกวันนี้ความนิยมและความหมายของห้างสรรพสินค้ากลับไม่ได้เป็นตามที่บทความข้างต้นนำเสนอในแง่ลบ
กลับเป็นแบบแผนใหม่ต่อวัฒนธรรมการใช้พื้นที่สาธารณะในเมืองของสังคมไทยอย่างมีนัยยะสำคัญยิ่งห้างสรรพสินค้าได้วิวัฒนาการพัฒนาการตัวเองให้เป็นมากกว่าพื้นที่ที่เพื่อจำหน่ายสินค้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งนับว่าเคยเป็นจุดแข็งที่สุดของห้างสรรพสินค้าที่เราสามารถไปสถานที่เดียวได้ครบทุกอย่าง
ยังมีความสะดวกสบายน่าเดิน
ไปสู่ความเป็น “เมืองท่า” ของการหมุนกงล้อแห่งทุนและวัฒนธรรมการบริโภค
และด้านให้ความหมายใหม่นอกเหนือจากการเป็นสถานที่ซื้อ-ขายสินค้าอยู่แทบทุกประเภท
ห้างสรรพสินค้าได้บรรจุสิ่งที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตซ้ำความหมายและสร้างวัฒนธรรมการบริโภคจากการบริโภคเชิงอรรถประโยชน์สู่
การบริโภคสัญญาร่วมกับสื่อและโฆษณา
โดยเอาความหมายของสัญญาของสินค้าห่อหุ้มด้วยความหมายของสถานที่เพื่อให้สินค้าและสถานที่ร่วมสร้างแรงส่งประทับลงในสำนึกและรสนิยมของคน
เราจึงเห็นงานเปิดตัวสินค้า งาน event ต่างๆ มีศูนย์กลางการกระจายวัฒนธรรมการบริโภคบางอย่างจากห้างสรรพสินค้า
ห้างสรรพสินค้ามีพื้นที่ทางกายภาพที่ควบแน่นเข้ากับการสร้างพื้นที่ทางสังคมในลักษณะใหม่
เช่น พื้นที่เพื่อการผ่อนหย่อนใจ และเป็นการสร้างพื้นที่ชุมชนของกลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนกัน ชอบในสิ่งเดียวกัน เช่น พื้นที่เในการรียนพิเศษ พื้นที่ของวัยรุ่นและของเยาวชนในด้านต่างๆ
เพื่อการแสดงออกถึงอัตลักษณ์
เป็นศูนย์กลางของการแสดงทัศนคติใหม่ๆ
ที่เอื้อต่อการบริโภคและให้เอื้อหนุนต่อการผลิต
ห้างสรรพสินค้าเป็นพื้นที่แห่งอำนาจในการสะสมทุนและเป็นช่องทางการกระจายการผลิตซ้ำหลายๆอย่าง ได้แก่ สัญลักษณ์และรสนิยม ในวันนี้ห้างสรรพสินค้ามีความหมายไม่ต่างกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ที่ผู้ผลิตสินค้าและบริการแทบทุกประเภทต่างต้องการพื้นที่ส่วนหนึ่งในนั้น
เพื่อยกระดับสินค้าของตนเอง (เป็นสินค้าขึ้นห้าง)
เป็นแม่เหล็กที่มีผลต่อการขึ้นราคาอสังหาริมทรัพย์และการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ เช่น คอนโดมีเนียม อาคารพาณิชย์
และมีอำนาจต่อรองให้เกิดสาธารณูปการอย่างรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน สะพาน-อุโมงค์ข้ามแยก ฯลฯ
ห้างสรรพสินค้าเป็นตัวแทนของความเป็นย่านในฐานะการสร้างตำแหน่งแห่งที่และการเป็นที่หมายของเมืองในมโนสำนึกของคน
เห็นได้จากคิวรถตู้มักมีต้นสายตามห้างสรรพสินค้า หรือใช้เป็นหมุดหมายในการเดินทาง
ห้างสรรพสินค้าอาจจะเป็นหนึ่งในเสาหลักของวัฒนธรรมการใช้พื้นที่แห่งยุคสมัยปัจจุบันนี้
และเปลี่ยนแนวคิดของคนในเมืองต่อการใช้พื้นที่สาธารณะอย่างสิ้นเชิง
จากเดิมที่ใช้พื้นที่สาธารณะในความหมายว่า “ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน” เช่น
สวนสาธารณะ มาสู่พื้นที่สาธารณะในที่ดินของเอกชน เช่น ลานแอโรบิก ลานน้ำพุในห้าง
นัยยะนี้ ห้างสรรพสินค้าสามารถช่วงชิงพื้นที่ส่วนบุคคลต่อการใช้พื้นที่สาธารณะ จากเมื่อก่อนเราไปสวนสาธารณะโดยสามารถเลือกทำกิจกรรมอะไรก็ได้ ตามที่เราต้องการ
โดยในพื้นที่ห้างนั้น กิจกรรมของห้างถูกกำหนดออกแบบ วางโปรแกรมการใช้พื้นที่มาจากข้อมูลการบริโภคของเรานั่นเอง เป็นอำนาจควบคุมพฤติกรรมและกำหนดแบบแผนการบริโภคของคนโดยที่เราไม่รู้สึกว่าถูกควบคุม
ทั้งหมดก็เพื่อเสถียรภาพแห่งการบริโภคและให้ทุนทำงานได้มั่นคงขึ้น
จะเห็นได้ว่าในทุกที่ที่เรียกว่าเมือง ซึ่งมีความเจริญแล้ว ย่อมมีห้างสรรพสินค้า เพื่อคอยตอบสนองความต้องการของมนุษย์